กรมประมงโชว์ผลงานวิจัย “กุ้งขาวสิชล 1” หลังปรับปรุงพันธุกรรมกุ้งขาวแวนนาไมให้เป็นสายพันธุ์คุณภาพได้สำเร็จ การันตีเลี้ยงง่ายโตไวไร้โรคและให้ผลผลิตสูงพร้อมกระจายพ่อแม่พันธุ์ สู่เกษตรกรเพื่อนำไปเพาะเลี้ยงเชิงพาณิชย์ พุ่งเป้าเพิ่มโอกาสทางการแข่งขันในตลาดโลก
วันที่ 23 มิถุนายน 2564 – นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ รองอธิบดีกรมประมง กล่าวว่า กุ้งขาวแวนนาไม (Litopenaeus vannamei Boone, 1931) นับเป็นสัตว์น้ำที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศไทย เนื่องจากเป็นที่นิยมของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศเกษตรกรจึงมีการเพาะเลี้ยงกันอย่างแพร่หลายโดยจากข้อมูลในปี 2563 มีปริมาณผลผลิตประมาณ 372,378 ตันคิดเป็นมูลค่ากว่า 54,601 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นมูลค่า 33.25 % ของมูลค่าผลผลิตสัตว์น้ำทั้งหมด กรมประมงจึงได้มีดำเนินการศึกษา วิจัยปรับปรุงสายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองต่อการเพาะเลี้ยงของเกษตรกรที่ต้องการพันธุ์กุ้งขาวคุณภาพดี เลี้ยงง่าย โตไว ไร้โรค และให้ผลผลิตสูง

ด้านนายกฤษณุพันธ์ โกเมนไปรรินทร์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำนครศรีธรรมราช กล่าวว่าได้ดำเนินการทดลองปรับปรุงพันธุ์กุ้งขาวแวนนาไมมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 โดยรวบรวมประชากรกุ้งขาวจากในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช สงขลา และกระบี่ เพื่อนำมาผสมข้ามแหล่งพันธุ์ และดำรงพันธุ์ไว้เรื่อยมาจนถึงรุ่นที่ 4 หรือ F4 หลังจากนั้น จึงได้มีการปรับปรุงพันธุ์ และคัดสายพันธุ์ตามหลักพันธุศาสตร์ โดยใช้กุ้งขาว รุ่นที่ 4 เป็นประชากรพื้นฐาน หรือ Base Population จำนวน 250 คู่ เพื่อสร้างประชากรตั้งต้นหรือ รุ่น P0 จำนวน 50 ครอบครัว (50 แม่)
ขณะเดียวกัน ได้พร้อมทำการทดสอบความต้านทานโรคตายด่วนในกุ้ง (Early Mortality Syndrome, EMS) ในลูกกุ้งระยะ PL25-35 แล้วคัดเลือกจำนวน 34 ครอบครัว เพื่อเลี้ยงแบบแยกครอบครัวจนเป็นพ่อแม่พันธุ์ ทำการคัดเลือกโดยดูลักษณะภายในครอบครัว (Within family selection) แล้วจึงนำมาผสมพันธุ์ โดยใช้พ่อแม่พันธุ์จำนวน 250 คู่ ผลิตลูกกุ้งรุ่น G1 จนได้ลูกจำนวน 23 ครอบครัว (23 แม่) เพื่อเลี้ยงเป็นกุ้งขาวแวนนาไมสายพันธุ์หลัก หรือพันธุ์ขยาย ของศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำนครศรีธรรมราช
ทั้งนี้ การดำรงรักษาสายพันธุ์ จะใช้วิธีการคัดเลือกพันธุ์โดยวิธีการคัดเลือกมาตรฐาน (Conventional selection) โดยใช้พ่อแม่พันธุ์รุ่น G1 ไม่น้อยกว่า 250 คู่สร้างประชากรรุ่น G2 จำนวน 50 ครอบครัว แล้วสุ่มกุ้งจากทุกครอบครัวในจำนวนที่เท่ากัน เลี้ยงรวมกันจนมีอายุ 120 วัน จึงทำการคัดและแยกเพศ คัดเลือกโดยวิธีการคัดเลือกแบบดูลักษณะตัวเอง (Individual selection) เพศละ 250 ตัว แล้วใช้การผสมแบบรวมกลุ่ม (Mass spawning) สร้างประชากรรุ่นถัดไปไม่น้อยกว่า 50 ครอบครัว กระทั่งปัจจุบันได้คัดเลือกพ่อแม่พันธุ์รุ่น G3 ผลิตลูกรุ่น G4 โดยในแต่ละรุ่นได้ทำการดำรงพันธุ์หลักไว้ประมาณ 1,000 ตัว/รุ่น

สำหรับ “กุ้งขาวสิชล1” ที่ทางศูนย์ฯพัฒนาได้สำเร็จเป็นกุ้งที่ปลอดเชื้อที่กําหนด 8 โรคได้แก่ โรคตัวแดงดวงขาว (WSSV) โรคทอร่า (TSV) โรคกล้ามเนื้อขาวหรือกล้ามเนื้อตาย (IMNV) โรคแคระแกร็น (IHHNV) โรคหัวเหลือง (YHV) โรค covert mortality nodavirus(CMNV) โรคตายด่วน เนื่องจากแบคทีเรียที่ทําให้เกิดตับวายเฉียบพลัน (EMSAHPND) และเชื้อEnterocytozoonhepatopenaei(EHP)
นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาพันธุ์จนมีการเจริญเติบโต ด้านน้ำหนักเพิ่มขึ้นจากพันธุ์เดิมถึง 32.54–34.58 เปอร์เซ็นต์ มีประสิทธิภาพผลผลิตเฉลี่ย เท่ากับ 15.65 ตัน/ล้านตัว สามารถนําไปเลี้ยงและกระจายพันธุ์ได้ตอนกุ้งมีอายุ 90 วัน โดยอัตราการปล่อยที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 100,000–150,000 ตัว/ไร่ ความเค็มของน้ำระหว่าง 10–20 ppt ทั้งนี้ ผลผลิตที่ได้ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการและสภาพแวดล้อมในระหว่างการเลี้ยงรวมถึงการตรวจสุขภาพกุ้งอย่างสม่ำเสมอด้วย
รองอธิบดีกรมประมง กล่าวว่า ขณะนี้กรมประมงได้มีการจำหน่ายพ่อแม่พันธุ์กุ้งขาวสิชล 1 เพื่อให้ผู้ประกอบการโรงเพาะฟักได้นำไปเพิ่มประสิทธิภาพของผลผลิตแล้วเมื่อช่วงเดือนพฤษภาคม2564ที่ผ่านมา ในราคาตัวละ 100 บาท โดยคาดว่าจะมีผลผลิตลูกพันธุ์ PL ล็อตแรกออกจำหน่ายได้ในช่วงเดือนสิงหาคม 2564 นี้ นอกจากนี้ กรมประมงยังมีลูกพันธุ์กุ้งขาวสิชล 1 พันธุ์ขยายระยะPL12-15จำหน่ายในราคาตัวละ 22 สตางค์ สำหรับให้เกษตรกรนำไปเลี้ยงเป็นพ่อแม่พันธุ์เพื่อผลิตลูกพันธุ์ด้วย พร้อมทั้งมีพันธุ์จำหน่ายระยะ นอร์เพลียส ในราคาล้านละ 5,000 บาทและระยะ PL12 ราคาตัวละ 12 สตางค์ สำหรับให้เกษตรกรนำไปเลี้ยงเพื่อเพิ่มผลผลิตในบ่อดินด้วย
ทั้งนี้สำหรับเกษตรกรที่สนใจ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำนครศรีธรรมราช กรมประมง โทรศัพท์ 0-7553-6157 ในวันและเวลาราชการ